แบบฝึกหัดบทที่ 7 นางสาว พนิดา กองจันทร์ดี 56010123517 BE
1.หน้าที่ของไฟร์วอลล์(firewall) คือ
เป็นระบบรักษาความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์แบบหนึ่งที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย
ซึ่งมีทั้งอุปกรณ์ Hardware และ Software โดยหน้าที่หลัก ๆ ของ Firewall นั้น จะทำหน้าที่ควบคุมการใช้งานระหว่าง
Network
ต่าง ๆ (Access Control) โดย Firewall จะเป็นคนที่กำหนด ว่า ใคร (Source) , ไปที่ไหน
(Destination) , ด้วยบริการอะไร (Service/Port)
ถ้าเปรียบให้ง่ายกว่านั้น นึกถึง พนักงานรักษาความปลอดภัย หรือ
ที่เราเรียกกันติดปากว่า "ยาม" Firewall ก็มีหน้าที่เหมือนกัน "ยาม" เหมือนกัน ซึ่ง "ยาม" จะคอยตรวจบัตร เมื่อมีคนเข้ามา ซึ่งคนที่มีบัตร
"ยาม" ก็คือว่ามี "สิทธิ์" (Authorized) ก็สามารถเข้ามาได้ ซึ่งอาจจะมีการกำหนดว่า คน ๆ นั้น
สามารถไปที่ชั้นไหนบ้าง (Desitnation) ถ้าคนที่ไม่มีบัตร
ก็ถือว่า เป็นคนที่ไม่มีสิทธิ์ (Unauthorized) ก็ไม่สามารถเข้าตึกได้
หรือว่ามีบัตร แต่ไม่มีสิทธิ์ไปชั้นนั้น ก็ไม่สามารถผ่านไปได้ หน้าที่ของ Firewall ก็เช่นกัน
2. จงอธิบายคำศัพท์ต่อไปนี้
ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสคอมพิวเตอร์ worm , virus
computer , spy ware , adware มาอย่างน้อย 1 โปรแกรม
สปายแวร์ ก็คือ โปรแกรมเล็ก ๆ
ที่ถูกเขียนขึ้นมาสอดส่อง (สปาย) การใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ
อาจจะเพื่อโฆษณาสินค้าต่าง ๆ
สปายแวร์บางตัวก็สร้างความรำคาญเพราะจะเปิดหน้าต่างโฆษณาบ่อย ๆ
แต่บางตัวร้ายกว่านั้น คือ ทำให้คุณใช้อินเตอร์เน็ทไม่ได้เลย ไม่ว่าจะไปเวบไหน
ก็จะโชว์หน้าต่างโฆษณา หรืออาจจะเป็นเวบประเภทลามกอนาจาร
พร้อมกับป๊อปอัพหน้าต่างเป็นสิบ ๆ หน้าต่าง
3. ไวรัสคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
1.บูตเซกเตอร์ไวรัส (Boot Sector Viruses) หรือ Boot
Infector Viruses คือไวรัสที่เก็บตัวเองอยู่ในบูตเซกเตอร์ของดิสก์
การใช้งานของบูตเซกเตอร์ คือเมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์เริ่มทำงานขึ้นมาครั้งแรก
เครื่องจะเข้าไปอ่านบูตเซกเตอร์ โดยในบูตเซกเตอร์จะมีโปรแกรมเล็ก ๆ
ไว้ใช้ในการเรียก
ระบบปฏิบัติการขึ้นมาทำงาน
การทำงานของบูตเซกเตอร์ไวรัสคือ
จะเข้าไปแทนที่โปรแกรมที่อยู่ในบูตเซกเตอร์ โดยทั่วไปแล้วถ้าติดอยู่ในฮาร์ดดิสก์
จะเข้าไปอยู่บริเวณที่เรียกว่า Master Boot Sector หรือ Partition
Table ของฮาร์ดดิสก์นั้น
ถ้าบูตเซกเตอร์ของดิสก์ใดมีไวรัสประเภทนี้ติดอยู่ ทุก ๆ ครั้งที่บูตเครื่องขึ้นมา
เมื่อมีการเรียนระบบปฏิบัติการ จากดิสก์นี้ โปรแกรมไวรัสจะทำงานก่อนและเข้าไปฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำเพื่อเตรียมพร้อมที่จะทำงานตามที่ได้ถูกโปรแกรม
มา ก่อนที่จะไปเรียนให้ระบบปฏิบัติการทำงานต่อไป ทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
2. โปรแกรมไวรัส (Program Viruses) หรือ File
Intector Viruses เป็นไวรัสอีกประเภทหนึ่งที่จะติดอยู่กับโปรแกรม
ซึ่งปกติจะเป็นไฟล์ที่มีนามสกุลเป็น COM หรือ EXE และบางไวรัสสามารถเข้าไปอยู่ใน
โปรแกรมที่มีนามสกุลเป็น SYS ได้ด้วยการทำงานของไวรัสประเภทนี้
คือ เมื่อมีการเรียกโปรแกรมที่ติดไวรัส ส่วนของไวรัสจะทำงานก่อนและจะถือโอกาสนี้ฝังตัวเข้าไ
ปอยู่ในหน่วยความจำทันทีแล้วจึงค่อยให้โปรแกรมนั้นทำ งานตามปกติ
เมื่อฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำแล้วหลังจากนี้หากมีการ เรียกโปรแกรมอื่น ๆ
ขึ้นมาทำงานต่อ ตัวไวรัสจะสำเนาตัวเองเข้าไปในโปรแกรมเหล่านี้ทันที
เป็นการแพร่ระบาดต่อไป
นอกจากนี้ไวรัสนี้ยังมีวิธีการแพร่ระบาดอีกคือ
เมื่อมีการเรียกโปรแกรมที่มีไวรัสติดอยู่ ตัวไวรัสจะเข้าไปหา โปรแกรมอื่น ๆ
ที่อยู่ติดเพื่อทำสำเนาตัวเองลงไปทันที แล้วจึงค่อยให้โปรแกรมที่ถูกเรียกนั้นทำงานตามปกติต่อไป
3. ม้าโทรจัน (Trojan Horse) เป็นโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมาให้ทำตัวเหมือนว่าเป็นโปรแกรมธรรมดา
ทั่ว ๆ ไป เพื่อหลอกล่อผู้ใช้ให้ทำการเรียนขึ้นมาทำงาน แต่เมื่อถูกเรียกขึ้นมา
ก็จะเริ่มทำลายตามที่โปรแกรมมาทันที ม้าโทรจันบางตัวถูกเขียนขึ้นมาใหม่ทั้งชุด
โดยคนเขียนจะทำการตั้งชื่อโปรแกรมพร้อมชื่อรุ่นและคำ อธิบาย การใช้งาน ที่ดูสมจริง
เพื่อหลอกให้คนที่จะเรียกใช้ตายใจ
จุดประสงค์ของคนเขียนม้าโทรจันคือเข้าไปทำอันตรายต่อ
ข้อมูลที่มีอยู่ในเครื่อง หรืออาจมีจุดประสงค์เพื่อที่จะล้วง
เอาความลับของระบบคอมพิวเตอร์ ม้าโทรจันถือว่าไม่ใช่ไวรัส
เพราะเป็นโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมาโดด ๆ และจะไม่มีการ
เข้าไปติดในโปรแกรมอื่นเพื่อสำเนาตัวเอง
แต่จะใช้ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ใช้ เป็นตัวแพร่ระบาดซอฟต์แวร์ที่มี
ม้าโทรจันอยู่ในนั้นและนับว่าเป็นหนึ่งในประเภทของโปรแกรมที่มีความอันตรายสูง
เพราะยากที่จะตรวจสอบและ สร้างขึ้นมาได้ง่าย ซึ่งอาจใช้แค่แบต์ไฟล์ก็สามารถโปรแกรมม้าโทรจันได้
4. โพลีมอร์ฟิกไวรัส (Polymorphic Viruses) เป็นชื่อที่ใช้เรียกไวรัสที่มีความสามารถในการแปรเปลี่ยนตัวเอง
ได้เมื่อมีการสร้างสำเนาตัวเองเกิดขึ้น ซึ่งอาจได้ถึงหลายร้อยรูปแบบ ผลก็คือ
ทำให้ไวรัสเหล่านี้ยากต่อการถูกตรวจจัดโดยโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใช้วิธีการสแกนอย่างเดียว
ไวรัสใหม่ ๆ ในปัจจุบันที่มีความสามารถนี้เริ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
5. สทิลต์ไวรัส (Stealth Viruses) เป็นชื่อเรียกไวรัสที่มีความสามารถในการพรางตัวต่อการตรวจจับได้
เช่น ไฟล์อินเฟกเตอร์ไวรัสประเภทที่ไปติดโปรแกรม ใดแล้วจะทำให้ขนาดของ
โปรแกรมนั้นใหญ่ขึ้น ถ้าโปรแกรมไวรัสนั้นเป็นแบบสทิสต์ไวรัส จะไม่สามารถตรวจดูขนาดที่แท้จริงของโปรแกรมที่เพิ่มขี้นได้
เนื่องจากตัวไวรัสจะเข้าไปควบคุมดอส เมื่อมีการใช้คำสั่ง DIR
หรือโปรแกรมใดก็ตามเพื่อตรวจดูขนาดของโปรแกรม
ดอสก็จะแสดงขนาดเหมือนเดิม ทุกอย่างราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
6. Macro viruses จะติดต่อกับไฟล์ซึ่งใช้เป็นต้นแบบ (template)
ในการสร้างเอกสาร (documents หรือ spreadsheet)
หลังจากที่ต้นแบบในการใช้สร้างเอกสาร ติดไวรัสแล้ว ทุก ๆ
เอกสารที่เปิดขึ้นใช้ด้วยต้นแบบอันนั้นจะเกิดความเสียหายขึ้น
4.
ให้นิสิตอธิบายแนวทางในการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์มาอย่างน้อย 5 ข้อ
1).ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสและอัปเดตข้อมูลไวรัสอยู่เสมอ
- ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะสม
- สร้างแผ่น Emergency Disk เพื่อใช้ในการกู้ระบบ
- อัปเดตข้อมูลไวรัสของโปรแกรมทุกวัน หรือ ทุกครั้งที่ โปรแกรมแจ้งเตือนให้อัปเดต
- เปิดใช้งาน auto-protect ถ้าโปรแกรมสนับสนุน
- ตรวจสอบหาไวรัสทุกครั้งก่อนเปิดไฟล์จากแผ่นหรือสื่อบันทึก ข้อมูลต่าง ๆ
- ใช้โปรแกรมเพื่อทำการตรวจหาไวรัสบนเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างน้อย 1 ครั้ง ต่อสัปดาห์
2).
ติดตั้งโปรแกรมอุดช่องโหว่(patch) โดยการอัปเดตซอฟต์แวร์และโปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ ให้ใหม่อยู่เสมอ
- ระบบปฏิบัติการ(OS) Windows , ระบบปฏิบัติการโปรแกรม
Internet Explorer (IE) และโปรแกรม Microsoft Office เป็นต้น
3).
ปรับแต่งให้ซอฟต์แวร์ที่ใช้งานปลอดภัยสูงที่สุด
- ปรับแต่งไม่ให้โปรแกรมที่ใช้อ่าน E-mail รันไฟล์แนบ (Attachment) โดยอัตโนมัติ
- ถ้าใช้ Microsoft Office ไม่ควรอนุญาตให้รันมาโคร (macro)
- ตั้งค่าระบบปฏิบัติการให้แสดงไฟล์ที่มีอยู่ทั้งหมด และแสดง นามสกุลของไฟล์ด้วยโดย
ปรับ ค่าการทำงานที่ Folder Options ใน Tools ของ Windows
Explorer
4).
ระวังภัยจากการเปิดไฟล์จากสื่อบันทึกข้อมูล(Media) ต่าง ๆ
- เช่น แผ่นฟล็อปปี้ดิสก์ แผ่นซีดี แผ่นดีวีดี เทปแบ็กอัป เป็นต้น
- สแกนหาไวรัสจากสื่อบันทึกข้อมูล ก่อนใช้งานทุกครั้ง
- ไม่ควรเปิดไฟล์ที่มีนามสกุลแปลก
ๆ ที่น่าสงสัย เช่น .pif เป็นต้น รวมทั้งไฟล์ที่มีนามสกุลซ้อนกัน เช่น .jpg,.exe
,.gif.scr , txt.exe เป็นต้น
ให้ลบไฟล์นั้นทิ้งทันที
- ไม่ใช้สื่อบันทึกข้อมูล ที่ไม่ทราบแหล่งที่มา
5).
ใช้ความระมัดระวังในการเปิดอ่าน E-mail
- อย่าเปิดไฟล์ที่แนบมากับ E-mail จนกว่าจะรู้ที่มา
- อย่าเปิดอ่าน E-mail ที่มี Subject ที่เป็นข้อความจูงใจ
- ลบ E-mail ที่ไม่ทราบแหล่งที่มาทิ้งทันที
เพื่อตัดปัญหาทั้งปวง
6).
ตระหนักถึงความเสี่ยงของไฟล์ที่ดาวน์โหลด หรือได้รับจากทางอินเตอร์เน็ต
- ไม่ควรเปิดไฟล์ที่แนบมากับโปรแกรมที่ใช้สนทนา เช่น ICQ , MSN เป็นต้น
หรือการแลกเปลี่ยนไฟล์ โดยเฉพาะไฟล์ที่สามารถ รันได้
เช่น ไฟล์ที่มีนามสกุล .exe , .pif , .com , .bat , .vbs เป็นต้น โดยไม่ได้ตรวจสอบแหล่งที่มาก่อน
- ไม่ควรเข้าเว็บไซต์ที่มากับ E-mail หรือโปรแกรมสนทนาต่าง
ๆ รวมทั้งโฆษณาชวนเชื่อ
หรือหน้าเว็บที่ปรากฏขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ
- ไม่ดาวน์โหลดไฟล์ต่าง ๆ จากเว็บไซต์ที่ไม่มั่นใจ หรือไม่ น่าเชื่อถือ
- ติดตามข่าวสารข้อมุลการแจ้งเตือนไวรัสจากแหล่งข้อมูลด้าน ความปลอดภัยอยู่เสมอ
หลีกเลี่ยงการแชร์ไฟล์โดยไม่จำเป็น
ถ้าต้องการแชร์ไฟล์ ควรแชร์แบบอ่านอย่างเดียว และตั้งรหัสผ่านด้วย
5.
มาตรการด้านจริยธรรมคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตที่เหมาะสมกับสังคมปัจจุบัน
ได้แก่
เทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสาร (Information and Communication Technology:ICT) มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในปัจจุบัน
เพราะถือเป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันประเทศเข้าสู่สังคมโลกาภิวัตน์
ซึ่งมีพื้นฐานแห่งการระดมสมอง ภูมิปัญญาและการเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง
การที่เทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีโทรคมนาคมในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างต่อ
เนื่องจนทำให้เกิด สภาพที่เรียกว่าพื้นที่ไซเบอร์ (Cyberspace) และโลกเสมือนจริง (Virtual World) นั้นมีผลทั้งในด้านดีและด้านเสีย
ในด้านดีคือ เทคโนโลยีช่วยให้สังคมมีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
การทำงานต่างๆมีความสะดวกและรวดเร็ว มีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น
เป็นเครื่องมือในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
เพราะเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นได้ย่อโลกเราให้แคบลง
ทุกสิ่งทุกอย่างเราสามารถค้นคว้าได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ในด้านการทำงานนั้นมันเป็นตัวช่วยที่ดีเลยทีเดียว
เพราะมันช่วยให้เราประหยัดเวลาในการทำงาน
มันเป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสารทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางไป
ติดต่อธุรกิจ
นอกจากนี้มันยังมีประโยชน์อีกมากมายแต่ในด้านดีนั้นมันก็ยังมีด้านเสีย
ประกอบอยู่ด้วยเพราะสภาพสังคมในปัจจุบันที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจะ
เห็นว่ามี ปัญหาต่างๆมากมายที่เกิดตามมาจากการใช้งานอินเทอร์เน็ต เช่น
คนในสังคมได้รับผลกระทบจากอัตราการจ้างงาน
เมื่อมีการนำเอาระบบสารสนเทศมาใช้การจ้างงานจึงลดลง ทำให้คนขาดรายได้ และตกงาน
เกิดอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ เช่น การโจรกรรมผ่านระบบออนไลน์ เว็บไซด์ลามก
การล่อลวงทางเพศในโลกออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีอันตรายทางอ้อมจากเว็บไซด์อันตราย เช่น
เกมส์ออนไลน์ที่อาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรงในหมู่เด็กๆ
และการไม่รับผิดชอบต่อความผิดที่เกิดขึ้น เพราะยากในการสืบสวน สอบสวน
เนื่องจากโลกไซเบอร์นั้นมันมีอยู่ทั่วทุกที่ ยากต่อการควบคุมให้อยู่ในกฎระเบียบ
อีกทั้งมันยังส่งผลกระทบด้านภาษา เราพบว่ามีการใช้ภาษาที่สั้นกะทัดรัด เป็น คำที่ใช้เฉพาะกลุ่ม มีการใช้คำแผลง
อาจส่งผลต่อการนำไปใช้ในชีวิตจริงๆพฤติกรรมของกลุ่มบุคคลที่ทำการสร้างข่าว
สารเท็จก่อให้เกิดความวุ่นวายกับเว็บไซด์ การฉ้อโกง การล่อลวงทางเพศ
อาชญากรรมทางธุรกิจ โดยผู้กระทำผิดนั้นล้วนแล้วแต่ดำเนินการผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ
เพราะมันยากต่อการติดตามของเจ้าหน้าที่รักษาความเรียบร้อยบนพื้นที่ออนไลน์ ดังนั้นคุณธรรมและจริยธรรมในการทำกิจกรรมต่างๆ บนพื้นที่ไซเบอร์ คือ
มาตรการหนึ่งที่จะเป็นปัจจัยในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว
และเพื่อที่จะให้เกิดการพัฒนาอย่างเหมาะสมและยั่งยืนต่อไปได้
แนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาบนพื้นที่ไซเบอร์
1.มาตรการทางการบริหาร หน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจัง รวมทั้งต้องมีบุคลากรที่เหมาะสม
และเพียงพอต่อการปฏิบัติงาน
และในขณะนี้ทางภาครัฐได้มีการดำเนินนโยบายขยายการใช้อินเทอร์เน็ตไปสู่
สังคมระดับรากหญ้า
หากไม่มีการระมัดระวังและเตรียมการที่ดีก็อาจเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมและ
กิจกรรมที่ไม่เหมาะสมบนอินเทอร์เน็ตไปสู่รากหญ้าและเยาวชนในชนบท
แต่หากมีการเตรียมการที่ดี
ตำบลอาจใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อในการกระจายความเจริญทางเทคโนโลยีและกระจาย
องค์ความรู้ใหม่ ๆไปสู่สังคมได้
ดังนั้นหน่วยงานดังกล่าวจะต้องมีการวางมาตรการที่เด็ดขาดในการควบคุมดูแล
พื้นที่ไซเบอร์ มีนโยบายที่ชัดเจน มีประสิทธิภาพ
2.มาตรการทางกฎหมายหน่วยงานที่ทำหน้าที่ใน
การบังคับใช้กฎหมายต้องมีบุคลากรอย่างเพียงพอ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
นอกจากกำหนดให้การกระทำอันมิชอบทั้งหลายบนอินเทอร์เน็ต
เป็นความผิดที่ไม่ต่างจากการกระทำในโลกจริงแล้วยังพยายามแก้ไขเพิ่มเติม กฎหมาย
เพิ่มอำนาจการสืบสวนสอบสวน
เพื่อแสวงหาพยานหลักฐานให้กับเจ้าพนักงานของรัฐรวมทั้งกำหนดให้ผู้ให้บริการ
อินเทอร์เน็ตที่เกี่ยวพันกับข้อมูลการใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหลายมีหน้าที่ตาม
กฎหมายต้องจัดเก็บส่งมอบหรือให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานเพื่อช่วยกันนำตัว
ผู้กระทำความผิดมาลงโทษ
3.มาตรการทางการ ควบคุมจรรยาบรรณ จะต้องมีเครือข่าย ที่มีการดูแล
ผู้ประกอบอาชีพและทำกิจกรรมบนพื้นที่ไซเบอร์
ที่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างต่อเนื่องและจริงจัง
ควรมีการป้องกันการชี้นำความคิดที่ผิดให้แก่คนในสังคม
การที่ต้องมีการกระตุ้นให้เกิดสมาคมและเครือข่ายเพื่อดูแลกันเอง
เพราะการเก็บข้อมูล หรือแสดงข้อมูล เพื่อแสดงตัวตน
และความน่าเชื่อถือในขอบเขตเรื่องธุรกิจ และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ก็เพื่อให้สามารถยืนยันตัวตนของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
และองค์กร เครือ ข่าย สมาคม ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตยังสามารถช่วยเหลือคนในวงการอินเตอร์เน็ต
ช่วยคนทำเว็บไซต์ ใช้สายสัมพันธ์ในการให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
4.มาตรการทางสังคม ต้องยกระดับและพัฒนาสถาบันพื้นฐาน เช่น
สถาบันครอบครัวสถาบันศาสนา สถาบันทางสังคม และสถาบันทางธุรกิจให้มีความรู้
ความสามารถด้านไอทีเพียงพอที่จะดูแลบุคคลในสถาบันของตน
โดยที่ผู้นำองค์กรทางธุรกิจและสังคมต้องมีความรู้ทาง ไอทีเป็นอย่างดี
5.มาตรการทางการศึกษา
ควรพัฒนาการศึกษาระบบสารสนเทศและความรู้ไอทีให้กว้างขวาง
รวมทั้งจัดทำหลักสูตรออนไลน์ ให้ครอบคลุมทุกสาขาวิชา ทั้งในและนอกระบบการศึกษา
6.มาตรการทาง คุณธรรมและจริยธรรม ได้แก่
การจัดระบบการให้การศึกษาแก่ผู้ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ทางด้านคุณธรรมและ จริยธรรม
เพื่อให้เขาเหล่านั้นเข้าไปชักนำโลกเสมือนจริงและการทำกิจกรรมบนพื้นที่ไซ
เบอร์ไปในทางที่ถูกที่ควร
ดังนั้นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการส่งเสริมให้ประชาชนมีคุณธรรม
จริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี ประกาศใช้พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ที่ชัดเจน
ไม่คลุมเครือ ดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่กระทำผิดอย่างจริงจัง
มีผู้ควบคุมดูและระบบใหญ่และระบบย่อยทั้งหมด เพื่อไม่ให้เกิดการกระทำผิดขึ้น
นอกจากนี้ต้องมีการส่งเสริมให้คนมีคุณภาพเข้ามาใช้อินเทอร์เน็ต
และต้องสร้างเว็บไซต์ที่มีคุณภาพให้เกิดขึ้นมากๆ รณรงค์ให้ผู้บริหารฯ อาจารย์
นักวิชาการ หรือแม้กะทั่งนักเรียน นิสิต นักศึกษา ทำการเขียนบทความลง website
webblog เหล่านี้จะเป็นการส่งเสริมผลักดันให้มีเว็บไซต์คุณภาพ
ที่สำคัญคือสถานศึกษาต้องปลูกฝังจิตสำนึกของนักเรียนในสถาบันของตนเองให้มี ความรู้
ความเข้าใจในการใช้Internet อย่างถูกต้อง